อินมันผู้แบกสมบัติ
อินมันผู้แบกสมบัติ ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในขุนเขาอัน เงียบสงบ หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างรอยแยกของภูเขาที่ตัดผ่านไปยังอีกฝากหนึ่งผู้คนในหมู่บ้าน ประกอบอาชีพค้าขายเป็นส่วนใหญ่พวกเขาคบค้าสมาคมกับชาวบ้านในพื้นที่ราบเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าทางการเกษตร และเสื้อผ้าไหมภายในหมู่บ้านแห่งนี้ มีบ้านอยู่ราวๆ 20 หลังคาเรือน ทุกหลังล้วนแล้วเป็นบ้านที่สร้างจากหิน และปูนผู้นำของหมู่บ้านมรนามว่า สุมาลี ตระกูลของเขาเป็นผู้เบิกทางสู่ช่องเขาแห่ง
นี้ซึ่งขุดทะลวงซากรอยแตกจนกลายเป็นทางเชื่อมไปอีกฝากหนึ่ง นักเดินทางส่วนใหญ่จึงเลือกเดินทางผ่านหมู่บ้านนี้เสมอเพราะช่วยประหยัดเวลาได้มาก และแน่นอนว่ามีการคมนาคมก็ต้องมีการค้าขายที่คถกคักเพราะขบวนม้า และพ่อค้าจากเมืองข้างๆ ต่างก็แวะเวียนมาอย่างไม่ขาดสายวันหนึ่งในช่วงกลางฤดูหนาวที่ความเย็นยะเยือกได้คลืบคลานเข้ามาในหมู่บ้านนักเดินทางก็เริ่มลดน้อยถดถอย ด้วยเพราะสภาพอากาศแต่กลับกันมี
เพียงกลุ่มคนพเนจร และเหล่าทหารที่ใช้เส้นทางนี้เป็นเส้นทางลัดไปอีกฝั่งเท่านั้น สุมาลี เริ่มได้รับคำรองเรียนจากชาวในชุมชน เพราะพวกเขาค้าขายไม่ได้เหมือนแต่ก่อนตอนนี้พ่อค้าแม่ค้าต้องกลับกลายมาเป็นลูกค้าที่ต้องซื้อสินค้าเกษตรเพื่อประทังชีวิตเพราะในพื้นที่แห่งนี้ไม่มีพื้นที่ทำการเกษตรมากพอเงินตราที่หามาได้ก็เริ่มร่อยหรอลงทุกวันหากเป็นเช่นนี้ต่อไปคนในหมู่บ้านจะอดตายในอีกไม่ช้า แต่ค่ำคืนหนึ่งก็มีเสียงกระดิ่งกระกริ่ง
ดังมาจากหน้าหมู่บ้านก่อนจะปรากฎเป็นเกวียนลากที่มีผู้บังคับเป็นภูติ ร่างกายสีม่วง หูยาว ดวงตากลมโตสีเทา รอยยิ้มของมันมีเพียงฟังซี่แหลมเผยให้เห็นถึงความไม่น่าไว้วางใจ ผู้คนในหมู่บ้านต่างคิดสงสัยถึงผู้มาเยือนรายใหม่ เกวียนของภูติปริศนา จอดอยู่ที่ตรงกลางของช่องเขาของที่อินมัน ก็กระโดดลงมาจากหลังเกวียนแล้วเปิดผ้าคลุมที่หลังเกวียนออกเผยให้เห็นซึ่งสิ่งบันเทิงเริงใจแสงสีนวลสว่างราวกับหิ่งห้อยมากมายและมี
ลวดลายสีรุ้งชวนสะดุดตาร่างของภูตินิทรการณ์กระโดดขึ้นไปบนเวทีพร้อมทั้งมีเสียงกลองรัวขึ้นก่อนที่มันจะเริ่มร่ายรำด้วยท่าทางแปลกๆ เพื่อดึงดูดผู้คนรอบข้างให้เข้าหาด้วยดนตรีจังหวะสนุกครื้นเครงอินมัน มาพร้อมกับความบันเทิงทำให้ผู้คนทั้งหมู่บ้านค่อยๆ ทยอยออกมารวมกันรอบเกวียนของ อินมัน
เมื่อเพื่อผู้คนหลั่งไหลมาเป็นจำนวนมากเท่าที่มันพอใจ อินมันก็ได้ตีกลองเพื่อจบการแสดง ก่อนที่ตัวของมันเองจะถือกระบองไฟ และอมน้ำมันขึ้นไปบนอากาศ เกิดเป็นการแสดงที่ตื่นตาตื่นใจปิดท้าย
“ยินดี ยินดีต้อนรับทุกท่าน สิ่งที่ทุกท่านได้รับชมไปก่อนหน้านี้เป็นเพียงการแสดงจากข้าผู้นี้เท่านั้น ข้าขอแนะนำตัวกับท่านทั้งหลาย ข้านั้นมีนามว่าอินมัน ผู้แบกสมบัติ ข้าเร่ร่อนไปตามหมู่บ้านต่างๆ เพื่อเสียงหัวเราะ และความสุขสรรค์ และข้ามาที่นี้ไม่ได้มาเพื่อมอบความเปรมปรีดิ์ เพียงอย่างเดียว แต่ข้ายังมีข้อเสนอเพื่อช่วยพวกท่านทั้งหลาย ณ หมู่บ้านแห่งนี้ให้พ้นภัย เพียงพวกท่านรับฟังข้อเสนอของข้า และตอบรับก็เท่านั้น”
“ลองกล่าวข้อเสนอของท่านมาเถอะ อินมันผู้แบกสมบัติ พวกข้ายินดีจะรับฟัง”
เสียงของหนึ่งในชาวบ้านกล่าวขึ้น
“ได้สิ พวกเจาลำบากกันมาใช่หรือไม่ เงินทองที่หามาก็ต้องใช้จ่ายเพื่อซื้อข้าวปลาอาหาร มาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง และช่วงตลอดฤดูหนาวนี้ พวกเจ้าก็แทบไม่ได้ค้าขายเลย เมื่อข้าได้รู้ข่าวก็เห็นใจ อยากจะมอบความเมตานี้ให้แก่พวกเจ้าจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะทำมันได้รึเปล่า”
“ท่านประสงค์สิ่งใดโปรดชี้ทางแก่พวกข้าด้วยเถิด”
“ข้ารอคำตอบนี้อยู่เลยข้าจะช่วยพวกเจ้า โดยข้าจะมอบสมบัติโดยเท่าที่พวกเจ้าจะสามารถขนมันไปได้”
“อย่างนั้นรึ พวกเรายอมทำตามที่ท่านต้องการ และพวกเราต้องทำอย่างไร”
“ดีมากเพียงพวกเจ้าตอบตกลงและยอมทำตามเงื่อนไขอีกอย่างของข้า คือพวกเจ้าต้องให้ทานแก่คนยากไร้ห้ามขาดตกบกพร่องแม้แต่คนเดียวในระยะเวลาหนึ่งปีหากสามารถทำได้ ข้าจะกลับมามอบสมบัติให้อีกเท่าตัว”
อินมันร่ายคาถาขึ้นเพื่อสร้างภาพมายา เสกสมบัติดังหยาดฝน ให้ตกลงมาแทนหิมะ ทุกคนในหมู่บ้านต่างตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ได้เห็น และยินยอมตามคำชักจูงนั้น
“ดีเลยงั้นพวกข้าทุกคนตกลง”
เมื่ออินมันได้ยินดังนั้นรอยยิ้มของมันก็ฉีกออกราวกับถุงเก็บเงิน
“มนุษย์ หนอ มนุษย์ ฮ่าๆๆๆ”
“แล้วถ้าทำไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้น”
สุมาลีกล่าวถามขึ้นท่ามกลางฝูงชน สายตาของอินมัน จดจ้องไปที่เจ้าของคำถาม ด้วยแววตาแวววาวก่อนที่มันจะเอ่ยปากออกมาพร้อมกับรอยยิ้มแนแสนเจ้าเล่
“โอ้ พวกเจ้าก็ต้องคืนสมบัติมาให้กับข้าเท่าที่มียังไงเล่า”
ทุกคนที่กำลังยากไร้หูตาจึงมืดมัวไม่ฟังคำทัดทานจาก สุมาลี พวกเขายอมตกลงกับอินมัน เพียงคิดแค่ว่าการให้ทานแก่คนยากไร้ หากแม้มีวมบัติมากพอย่อมให้ทานได้อย่างไม่มีปัญหา เมื่อถึงชาววันรุ่งขึ้น อินมันได้ขนสมบัติมาให้กับคนในหมู่บ้านตามที่เขาได้ให้สัญญาเอาไว้ สุมาลีได้แต่ยืนดูผู้คนในหมู่บ้าน ขนสมบัติเป็นหาบเข้าบ้านของตนเอง เมื่อผู้คนได้สมบัติมาก็ใช้จ่ายอย่างที่เคยทำ คือการซื้อหาข้าวของจากเมืองอื่นมาไว้เพื่อ
เตรียมขาย แล้วไม่นานก็มีคนพเนจรเดินเข้ามาในหมู่บ้าน โดยปกติแล้วคนพเนจรจะเดินผ่านหมู่บ้านนี้ไปเฉยๆ เพราะคนพวกนั้นรู้ดีว่าคนส่วนใหญ่ในช่องเขานี้ ไม่มีกะใจจะแบ่งปันแม้แต่เพียงน้ำเพียงหยดเดียว แต่ทว่าตอนนี้กลับเป็นพ่อค้าแม่ค้าที่ร้องทักคนพเนจรเพื่อมอบสิ่งของให้
“เจ้าคนพเนจร เดินทางผ่านมาเหนื่อยๆ เจ้าอยากได้น้ำดื่ดับกระหายหรือไม่”
พ่อค้าคนหนึ่งถามขึ้น
“ข้าไม่มีเงินตราหรอกหนาเพียงแค่พวกท่านให้ใช้เส้นทาง ผ่านไปยังอีกฝากของภูเขาก็เป็นพระคุณมากแล้ว”
พ่อค้าหนุ่มได้เดินเอาน้ำ และคบเพลิงมาให้กับชายพเนจร ก่อนที่เขาจะกลับมานั่งที่แผงขายสินค้าต่อ
ชายพเนจรรับของจากชายคนนั้นด้วยความแปลกใจ และได้กล่าวขอบคุณก่อนที่จะเดินออกจากหมู่บ้านไป บ้านหลังถัดมาเมื่อได้เห็นพ่อค้ามอบของแก่คนพเนจรจึงได้ทำตามโดยการแบ่งผลไม้ให้แก่คนขอทานที่ผ่านทางมา เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อโปรดติดตามตอนต่อไป